วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ใบงานที่ 7


1.1           เกี่ยวกับ Hardware
วิธีการปรับ Refresh rate แล้วภาพเกิดล้ม มีวิธีแก้ง่ายๆ

   ทริก & ทิป ตัวนี้ ถือได้ว่า เป็น ทริก & ทิป สำหรับคนมือซน สักหน่อย ก็เพราะว่าการปรับ Refresh Rate บางทีนั้น ปรับซะจนสูงเกินไป จอของเรานั้น ไม่สามารถรับได้ มันก็จะเกิดอาการ ภาพล้ม!! ก็คือ ตอนนั้นเราจะมองอะไรไม่เห็นเลยน่ะสิครับ เอาล่ะ แล้วที่นี่เราจะปรับมันกลับยังไงดีล่ะเนี่ย ไม่เป็นไร เราก็มีวิธีแก้ ง่ายๆ นิดเดียว
   --> ตรวจดูว่า จอของเรานั้น รองรับความละเอียดได้สูงสุดที่เท่าใด สังเกตได้จากข้างกล่องจะเขียนเอาไว้เมื่อรู้แล้วก็ทำขั้นตอนต่อไป
   --> ขั้นต่อมา กดปุ่ม Restart เครื่องใหม่ แล้วที่นี้ พอมันเริ่ม Restart เครื่อง
   --> พอมันขึ้นคำว่า Starting Windows ก็ให้เรากด F8 จะมี Menu ขึ้นมาแล้วเลือกเข้าที่ Safe Mode
   --> เอาล่ะ ที่นี่พอเครื่องเราเข้าที่ Safe Mode แล้ว เราก็จะทำการ เซ็ทค่า Refresh rate มันกลับล่ะ โดยการที่ ไปปรับใน Displays Properties ภายใน Control Panel แล้ว
        ปรับ Refresh Rate ให้เป็น Adapter Default ตอบ OK 2 ครั้ง แล้ว Restart เครื่องใหม่
   --> เมื่อเข้า Windows ใหม่แล้วก็ค่อยเข้าไปปรับ Refresh rate อีกครั้ง

ถ้าไม่สามารถปรับความละเอียด ของหน้าจอ หรือ ปรับได้แค่ 640x480,256 colors

   ถ้าอยู่มาวันหนึ่งคอมพิวเตอร์ของคุณ เกิดอาการอย่างที่ว่าจริงๆล่ะก็ ไม่ต้องตกใจครับ ลองตั้งสติให้ดีๆ แล้ว ก่อนอื่นก็ลองดูว่า การ์ดจอของคุณนั้น แสดงความละเอียดได้สูงสุดท่าใด โดยอาจจะดูจากคู่มือของการ์ดจอ นั้นก็ได้ แล้วก็ลองดูว่า ได้ติดตั้ง Driver ของการ์ดจอไปแล้วหรือยัง โดยมีวิธีดู ดังนี้

คลิ๊กขวาที่ My Computer > เลือก Properties > เลือกแท็ป Device Manager

   แล้วเลือกดูที่ Display Adapter ว่า ชื่อการ์ดจอ และรุ่น ที่แสดงอยู่นั้น ตรงกับของเราจริงๆ หรือป่าว ถ้าไม่ตรง ก็ต้องทำการติดตั้ง Driver โดยการ เลือกคลิ๊กขวาที่ชื่อของการ์ดจอตัวนั้น แล้วเลือก Properties แล้วคลิ๊ก แทป Driver จากนั้น ก็ คลิ๊กปุ่ม Update Driver แล้วจะมีหน้าต่าง Update Device Driver Wizard ขึ้นมา เพื่อให้เราลง Driver ใหม่นั้นเอง ที่นี้พอลง Driver เสร็จแล้ว ก็ลอง Restart เครื่องใหม่

เปิดเครื่องไปได้สัก 2-3 นาที จอถาพก็เกิดอาการสั่น แล้วก็หดลงประมาณ 1 นิ้ว ??

   ก็ในเมื่อไม่ได้ไปทำอะไรมันได้ ความละเอียดของภาพ (Resolution) ก็ไม่ได้ไปปรับ พอลองปรับปุ่มที่หน้าจอให้มันขยายเท่าเดิม ก็เหมือนภาพมันถูกดึง เข้า ดึงออกจาก เครื่องคอมของคุณ แต่อาจเกิดจาก จอมอนิเตอร์พอใช้นานๆไปแล้ว อาจเกิดการเสื่อมของหลอดภาพ ทำให้บางครั้ง ภาพที่เห็นอาจวูบหายไปได้บ้าง หรือไม่ก็อาจจะเกิดจาก ตัวจ่ายไฟ ภายในจอมอนิเตอร์ ( ศัพท์ช่างเค้าเรียกว่า ไฟแบ๊ค ) เองนั้นแหละครับจ่ายไฟไม่พอ จึงอาจจะเกิดปัญหานี้ขึ้นมา แต่ปัญหาในลักษณะนี้ก็คือคงจะต้องส่ง ไปให้ที่ร้านเค้าซ่อมแล้วล่ะครับ เพราะคุณคงจะมานั่งทำเองมันก็คงไม่ได้ ส่วนเรื่องราคานั้นก็คงจะต้องไปคุยกันอีกที แต่ถ้า หลอดภาพ หรือ ไฟแบ๊ค เสียจริงๆ ส่วนใหญ่เค้าก็จะไม่ซ่อมกันแล้วครับ เพราะไฟแบ๊คและหลอดภาพ นี้มีราคาสูงจริงๆ ทำให้ค่าซ่อมนั้นแพงมาก ก็อาจจะมีวิธีแก้คือ อาจจะไปหาซื้อ จอมอนิเตอร์มือสองยังจะคุ้มกว่าค่าซ่อมอีกมั้งครับ ...

อยู่ดีๆ ก็ไม่มีภาพที่หน้าจอ ?

วิธีแก้ไข
   1. ต้องดูก่อนเลยว่า ดวงไฟ LED ดวงเล็กๆ ที่อยู่ข้างหน้านั้น ติดรึเปล่า ถ้าไปไม่ติด อาจจะเกิดว่าลืมเสียบปลั๊กรึเปล่า
   2. ดูว่ามีมือดีที่ไหนไปปรับ ความสว่าง ของหน้าจอรึเปล่า ก็ลองปรับ Contrast และ Brightness จาก Menu OSD ของจอดู
   3. จากนั้นก็ดูว่าสายเคเบิ้ล ที่เสียบระหว่างจอ กับ เครื่อง หลุด,หลวม หรือไม่ ให้เสียบและ หมุ่นตัวยึดเสียใหม่
   4. ถ้าคุณมี คอมพิวเตอร์ที่ใช้งานอยู่ หรือจอที่ใช้ได้อย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้ ลองเอาไปเสียบกับเครื่องที่เสียดูว่าสาเหตุนั้นเกิดจาก จอ ของเราหรือเกิดจาก
       คอมพิวเตอร์กันแน่
   5. ถ้าสาเหตุเกิดจาก จอ ของเราให้เราดู Warranty จอว่าหมดประกันหรือยัง ถ้ายังไม่หมดประกันก็นำไปเคลม กับร้านที่ซื้อมา
   6. ถ้านำจอที่ใช้ได้มาต่อแล้วยังใช้การไม่ได้อีก ก็อาจจะเกิดจาก การ์ดแสดงผล (Display Card) ก็ให้ถอดฝาครอบเครื่องออกมา
       แล้วก็ดึงการ์ดแสดงผลออกมาทำความสะอาด ตรงที่เป็นหน้าสัมผัส ( แผงทองเหลือง ) วิธีทำความสะอาดก็อาจจะใช้ ยางลบดินสอก็ได้ โดยลบเบาๆ ที่หน้าสัมผัสนั้น
       แล้วลองเสีบกลับลงไปที่ตำแหน่งเดิม และ ลองเปิดเครื่องดู
   7. แต่ที่แน่ๆ ที่ตรวจสอบมาทั้งหมด ต้องแน่ใจว่า จอ ของคุณนั้นใช้งานได้จริงๆ ไม่เสีย ไม่พัง
   8. ถ้าทำตามขั้นตอน ที่กล่าวมาแล้ว ยังเกิดอาการเดิม เกือบจะ 100% การ์ดแสดงผลอาจจะเสียก็ได้ หรือไม่ก็ไปยืมการ์ดจอของเพื่อน มาลองเสียบ แทนดูก็ได้

ค่าความละเอียดของเม็ดสี (Color Bit Depth)

   ค่าความละเอียดของเม็ดสีสำหรับภาพวิดีโอ หรือภาพนิ่งนั้น คือจำนวนของสีที่ใช้ในข้อมูลภาพวิดีโอ หรือภาพนิ่ง โดยข้อมูลภาพวิดีโอแต่ละแบบ จะมีค่าความละเอียดของเม็ดสีของตนเองอยู่แล้ว ส่วนภาพนิ่ง มักจะมีตัวเลือกให้ สำหรับค่าความละเอียดเม็ดสี โดยช่วงค่าความลึกได้แก่:

http://www.dcomputer.com/proinfo/tricktip/image/bullet.gif8-bit: จะได้ภาพขาวดำ หรือภาพเฉดสีเดี่ยว (Monochrome) หรือ Alpha Channel หรือ Luminance หรือ Index Color
http://www.dcomputer.com/proinfo/tricktip/image/bullet.gif16-bit: เป็นค่าความละเอียดที่ให้คุณภาพสี ต่ำที่สุด คือเป็นภาพ 5-bit RGB
http://www.dcomputer.com/proinfo/tricktip/image/bullet.gif24-bit: เป็นค่ามาตรฐานสำหรับภาพวิดีโอ เป็น 8-bit RBG
http://www.dcomputer.com/proinfo/tricktip/image/bullet.gif32-bit: สำหรับภาพ 32-bit นี้ อาจจะประกอบด้วย 8-bit RGB พร้อม 8-bit Alpha Channel หรืออาจจะเป็น 10-bit RBG อย่างในไฟล์ .cin และ .sgi
http://www.dcomputer.com/proinfo/tricktip/image/bullet.gif48-bit: เป็นภาพ 16-bit RGB
http://www.dcomputer.com/proinfo/tricktip/image/bullet.gif64-bit: ให้คุณภาพสีสุงที่สุด โดยเป็นภาพ 21-bit RGB

เทคนิคในการทำให้ภาพที่จับมาจากหน้าจอวินโดวส์มีความคมชัด

   หากในเครื่องคุณไม่มีโปรแกรมจับภาพหน้าจอ แต่คุณต้องการจับภาพหน้าจอมาใช้ ในระบบปฏิบัติการวินโดวส์ก็ให้คุณสามารถกดปุ่ม Print Screen (Print Screen) เพื่อจับภาพบนหน้าจอของวินโดวส์มาแล้วสั่ง Paste ลงในโปรแกรมต่างๆ ของคุณได้ โดยการกดปุ่ม Print Screen เป็นการจับภาพทั้งจอภาพ และการกดปุ่ม Alt พร้อมกับ Print Screen เป็นการจับภาพเฉพาะหน้าต่างวินโดวส์ที่เปิดใช้งานอยู่ อย่างไรก็ตาม ในบางโปรแกรมคุณอาจพบว่าเวลาที่สั่ง Paste ภาพที่จับไว้เข้ามาใช้กลับได้ภาพไม่ค่อยคมชัด เช่น จับภาพหน้าจอของวินโดวส์มาใส่โปรแกรม Page Maker ภาพที่ได้จากการ Paste จะไม่ค่อยมีความละเอียดมากนัก ซึ่งคุณสามารถแก้ไขได้ดังนี้ :
   --> หลังจากจับภาพหน้าจอเรียบร้อยแล้วให้เปิดโปรแกรม Paint ของวินโดวส์ (Start --> Programs --> Accessories --> Paint)
   --> เลือกคำสั่ง Edit --> Paste รูปจากหน่วยความจำมาเข้าในโปรแกรม Paint
   --> เลือกคำสั่ง Edit --> Select All
   --> เลือกคำสั่ง Edit --> Copy
   --> หลังจากนี้ก็ให้คุณไปเปิดโปรแกรมที่คุณต้องการ Paste ภาพใส่เข้าไปได้ โดยคุณจะพบว่าภาพที่ได้จะมีความคมชัดมากขึ้น

1.2 เกี่ยวกับ Software
การแก้ปัญหาสามารถทำได้โดยลบRegisterKey ที่เสียหาย หรือมีรูปแบบไม่ถูกต้องออกไป เพื่อให้ XP ตรวจจับอุปกรณ์USBของเราได้ใหม่อีกครั้งตามปกติ ขั้นตอนการลบRegisterKeyตัวปัญหามีดังนี้


1. คลิก Start เปิดไดอะล็อกบ็อกซ์ Run (กดปุ่ม Windows + R) พิมพ์คำสั่ง regedit คลิ้กปุ่ม OK
2. ในโปรแกรม Registry Editor คลิ้กเข้าไปที่


HKEY_LOCAL_MACHINE \SYSTEM\ CurrentControlSet \Control\ Class\ {4D36E980-E325-11CE-BFC1-08002BE10318}.
[USB_Device_Stop_Working1.jpg]

3. ลบคีย์ที่มีชื่อว่า UpperFilters หรือ LowerFilters
4. จากนั้นให้คลิ้กเข้าไปที่

HKEY_LOCAL_MACHINE \SYSTEM\ CurrentControlSet \Control\ Class\ {4D36E967-E325-11CE-BFC1-08002BE10318}.
[USB_Device_Stop_Working2.jpg]

5. ทำเหมือนข้อ 3 คือลบคีย์ UpperFilters หรือ LowerFilters
6. รีบูต(Restart)เครื่องคอมพิวเตอร์

ข้อควรทราบก็คือ เมื่อคุณลบรีจิสทรีคีย์ที่มีปัญหานี้ออกไป แอพพลิเคชันเขียนแผ่น CD/DVD ที่ใช้การเปลี่ยนค่าของคีย์ข้างต้น (UpperFIlters, LowerFilters) จะไม่สามารถทำงานได้ และคุณอาจจะต้องติดตั้งโปรแกรมพวกนี้เข้าไปใหม่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น